การส่งเสริมภาวะสุขภาพ
- veena Anutarakul
- 40
- Posted on
การส่งเสริมภาวะสุขภาพ
ขอขอบคุณที่มาจาก : ดร.มัณทนาวดี เมธาพัฒนะ
วันนี้ ได้อ่านเอกสาร ความรู้เกี่ยวกับ การส่งเสริมโภชนาการในเด็ก ของ ดร.มัณทนาวดี เมธาพัฒนะ เห็นว่าเป็นประโยชน์ จึงขออนุญาตนำมาเล่าต่อสรุปโดยย่อ ซึ่งหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ดังนี้
การส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) เป็นกระบวนการทำให้ประชาชนสามารถเพิ่มพลังอำนาจในการควบคุมและปรับปรุงภาวะสุขภาพของตนเองได้อย่างแท้จริง เป็นการช่วยให้บุคคลทั้งที่มีภาวะสุขภาพดี และเจ็บป่วย หรือพิการมีสุขภาพดีขึ้น โดยงานส่งเสริมสุขภาพ เป็นบทบาทหลักของการพยาบาล ซึ่งรวมถึงงานป้องกันโรค งานการดูแลรักษาพยาบาล งานการฟื้นฟูสมรรถภาพและการดำรงไว้ซึ่งสุขภาพที่ดี และการช่วยให้ผู้ป่วยได้สิ้นใจอย่างสงบ
การดูแลเด็กก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้มุ่งการแก้ปัญหาเมื่อเด็กเจ็บป่วยเท่านั้น แต่จะรวมถึงการส่งเสริมสุขภาพเด็ก เพื่อให้เด็กมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการตามศักยภาพที่มีอยู่ ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงการส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งพยาบาลและบุคคลากรที่เกี่ยวข้องควรดูแล ให้คำแนะนำแก่มารดาหรือผุ้เลี้ยงดู ในประเด็น โภชนาการสำหรับเด็กแต่ละวัย ดังนี้
การส่งเสริมโภชนาการในเด็ก เกี่ยวกับ ความต้องการสารอาหารในเด็กแต่ละวัย /อาหารตามวัย
โภชนาการสำหรับเด็กแต่ละวัย
เด็กวัยทารก
ความต้องการสารอาหารในวันทารกและวัยเด็ก มีความเฉพาะเจาะจงและมีผลกระทบต่อทารกและเด็กแต่ละคน เนื่องจากสารอาหารทำให้มีการเจริญเติบโตและพัฒนาการ เกิดการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่าง ๆ ทั้งด้านหน้าที่ และส่วนประกอบเพื่อให้ทำงานได้ตามปกติ ทารกและเด็กยังมีอัตราการสร้าง อัตราเมตาบอลิซึม (metabolic rate) การหมุนเวียนของสารอาหารในเซลล์ (turnover) สูงกว่าในวัยผู้ใหญ่ การรักษาระดับสารอาหารให้คงที่ในร่างกาย จึงมีความจำเป็นเพื่อให้มีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดี
แนวคิดเกี่ยวกับการให้อาหารทารก
- 2-3 เดือนแรก เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
- 1 ขวบปีแรก เป็นช่วงสำคัญของการเจริญเติบโตของสมอง
- ภาวะอ้วนในวัยเด็กทารกสัมพันธ์กับภาวะอ้วนในผู้ใหญ่
- ทารกปกติต้องการพลังงาน 90-120 Kcal/Kg/Day
- น้ำ ทารกต้องการน้ำวันละประมาณ 120-160 Ml/Kg
ความต้องการสารอาหารในทารก
- พลังงาน
ทารกต้องการพลังงานมากกว่าผู้ใหญ่ 2-3 เท่า เนื่องจากมีพื้นที่ผิวมากกว่าเมื่อเทียบกับน้ำหนัก ทำให้เสียความร้อนสูง มีอัตราเมตาบอลิซึมสูง โดยปกติทารกต้องการพลังงาน 100 กิโลแคลอรี/กิโลกรัม/วัน
- โปรตีน
ความต้องการโปรตีนในทารกสูงกว่าในช่วงชีวิตวัยอื่น ๆ ของชีวิต การขาดโปรตีนทำให้เติบโตช้า ความต้องการโปรตีนสำหรับทารกไทย ตามตารางที่ 2.1.2
- คาร์โบไฮเดรตและไขมัน
คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งให้พลังงาน ทารกอายุ 0-5 เดือนต้องการวันละประมาณร้อยละ 40 ของพลังงานที่ได้รับทั้งหมด โดยได้จากแล็กโทสในน้ำนมอย่างเดียว ทารกอายุ 6-11 เดือนต้องการคาร์โบไฮเดรตวันละประมาณ ร้อยละ 45-65 ของพลังงานที่ได้รับทั้งหมด โดยได้จากน้ำนม ข้าว แป้ง และผลไม้
ไขมันเป็นแหล่งพลังงานและสำคัญสำหรับการพัฒนาระบบประสาทส่วนกลาง และเก็บสะสมเป็นไขมันในร่างกาย ไขมันในนมทำให้ทารกรู้สึกอิ่ม ทำให้เว้นช่วงเวลาให้น้ำนมได้ เพราะไขมันในน้ำนมแม่เหมาะสมสำหรับทารก ปัจจุบันนมผสมพยายามเลียนแบบไขมันในน้ำนมแม่โดยเติมโอเมกา 3, DHA, EPA ลงไป แต่ก็อาจมีไขมันบางชนิดในน้ำนมแม่ที่ยังไม่สามารถเติมลงในนมผสมได้ (Insel, Turner, & Ross, 2002) ความต้องการไขมันของทารก คือ ร้อยละ 50 และร้อยละ 40 ของพลังงานทั้งวัน สำหรับทารกอายุ 0-5 เดือน และสำหรับทารก 6-11 เดือน (กองโภชนาการ,2546) ซึ่งในน้ำนมแม่มีปริมาณไขมันเท่ากับสันส่วนของไขมันที่ทารกต้องการ
- น้ำ
น้ำมีความสำคัญต่อการมีชีวิต เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย ปริมาณน้ำในทารกประมาณร้อยละ 75-80 ของน้ำหนักตัว ทารกต้องการน้ำ 1.5 มิลลิลิตร/กิโลแคลอรี หรือ 150 มิลลิลิตร/กิโลกรัม/วัน ผู้ใหญ่ต้องการ 1 มิลลิลิตร/กิโลแคลอรี (Insel, Turner , & Ross, 2002) น้ำนมแม่มีสารอาหารครบสำหรับทารก และให้น้ำเพียงพอกับความต้องการ ทารกที่ได้รับนมผสมก็เช่นกันถ้าผสมสัดส่วนได้ถูกต้อง ดังนั้นทารกอายุแรกเกิดถึง 6 เดือน ไม่จำเป็นต้องได้รับน้ำเสริม การให้น้ำหรือน้ำผสมกลูโคสจะทำให้ทารกได้รับน้ำนมน้อยลง เมื่อทารกได้อาหารที่นอกเหนือจากนม ทารกจึงควรได้รับน้ำเพิ่มเติม
ความต้องการน้ำของทารกอายุ 0-5 เดือน ขึ้นกับปริมาณนมที่ทารกได้รับจากน้ำนมแม่ ทารกอายุ 6-11 เดือน ต้องการน้ำ 800 มิลลิลิตร/วัน (กองโภชนาการ, 2546)
- วิตามินและเกลือแร่
ทารกที่ได้รับน้ำนมแม่และนมผสมอย่างถูกสัดส่วนจะได้วิตามินและเกลือแร่เพียงพอ เนื่องจากในนมผสมจะมีกสนเติมวิตามิน เกลือแร่ที่จำเป็น ตามข้อกำหนดของสารอาหารที่ควรได้รับ น้ำนมแม่มีวิตามิน เกลือแร่ที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการ แต่มีบางตัวที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษดังนี้
- วิตามินดี เป็นวิตามินที่ช่วยดูดซึมแคลเซียม การสร้างกระดูก น้ำนมแม่ที่มีวิตามินดีต่ำช่วยโดยให้ทารกถูกแสงแดดอ่อนๆ การขาดวิตามินดีพบน้อยมาก ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ทารกผิวคล้ำ ไม่ถูกแสงแดด แม่ขาดวิตามินดี ควรให้เสริม 10 ไมโครกรัม (400 IU)/วัน
- วิตามินเค จำเป็นในการสร้างโปรธรอมบิน (prothrombin) ช่วยให้เลือดแข็งตัว แบคทีเรียในลำไส้สร้างวิตามินเคได้ แต่ทารกแรกเกิดลำไส้สะอาด สร้างยังไม่ได้และเก็บวิตามินไว้ได้น้อย ดังนั้นให้วิตามินเคเมื่อแรกเกิดครั้งเดียว หลังจากทารกได้รับน้ำนมแม่หรือนมผสมทารกจะได้รับวิตามินเคเพียงพอ
- วิตามินบีสิบสอง จำเป็นสำหรับการแบ่งตัวของเซลล์ และการทำงานของโฟเลต ในแม่ที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ นม ไข่ ถ้าได้อาหารมังสวิรัติควรให้วิตามินบีสิบสองเสริมทั้งในแม่และทารก
- เหล็ก มีความจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก ถ้าขาดเกิดภาวะซีดได้ เหล็กในน้ำนมแม่มีน้อย แต่สามารถถูกดูดซึมได้ร้อยละ 50 ในนมผสมดูดซึมได้ร้อยละ 4 ทารกเก็บสะสมเหล็กขณะอยู่ในครรภ์ได้ถ้าแม่ได้รับอาหารที่มีเหล็กเพียงพอ ในทารกปกติมีเหล็กสะสมตั้งแต่แรกเกิดถึง 2-3 เดือน อายุ 4 เดือนเหล็กจะเริ่มลดต่ำลง ทารกที่ได้รับน้ำนมแม่ต้องได้เหล็กเสริมเมื่ออายุ 4-6 เดือน ทารกที่ได้รับนมผสม แนะนำให้เหล็กตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเสริมในนมผสม
- ฟลูออไรด์ มีความสำคัญสำหรับการสร้างฟัน ในน้ำนมแม่มีน้อย ทารกควรได้รับการเสริมเมื่ออายุ 6 เดือน ยกเว้นอยู่ในชุมชนที่มีแหล่งน้ำเติมฟลูออไรด์ ทารกที่ได้รับนมผสมที่ใช้น้ำที่ผสมฟลูออรไรด์ไม่ต้องเสริม
- นม
นมเป็นอาหารสำหรับทารก โดยเฉพาะทารกแรกเกิดถึง 6 เดือน หลังจากนั้นจะได้นมและอาหารตามวัยจนถึงอายุ 1 ปี น้ำนมแม่เป็นอาหารที่ดี
7 .อาหารเสริมตามวัย
ทารกตั้งแต่แรกเกิด ถึง 6 เดือน จะไดรับนำนมมารดา หรือนมผสมเป็นอาหารหลัก หลังจากนั้นจะได้อาหารอื่นที่ไม่ใช่นม คือ อาหารเสริมขึ้นมาจากปกติ หรืออาหารตามวัยซึ่งมีคำเรียกต่าง ๆ กัน เช่น complementary food หรือ supplementary food หรือ solid food จุดเริ่มของการให้อาหารเสริม คือ ความต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเหล็ก เพราะในน้ำนมมารดามีน้อย เหล็กที่สะสมในทารกลดลง และทรรกมีความพร้อมทางร่างกายและ สรีรภาพ
แนวทางการบริโภคอาหารเด็กวัยก่อนเรียนอายุ 1-3 ปี
เด็กที่ยังกินนมแม่ก็ให้กินต่อไปได้ เพราะจะช่วยเสริมให้เด็กได้โปรตีนคุณภาพสมบรูณ์ (complete protein) เมื่อถึงระยะหยุดนมแม่ให้ดื่มนมสดสลับถั่วเหลืองวันละ 3 – 4 ถ้วยตวง เด็กวัยก่อนเรียนควรได้รับอาหารวันละ 3- 4 มื้อ เพราะแต่ละมื้ออาจบริโภคได้ในปริมาณน้อยจึงให้มีมื้อว่างเสริมจากมื้อหลัก เด็กวัยก่อนเรียน 1-3 ปี ต้องการโปรตีนวันละ 1.8 กรัมต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม นอกจากโปรตีนที่ได้จากนมแล้วควรได้จาก เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์ เช่น เต้าหู้ และโปรตีนจากพืช เช่น ข้าว ผัก และผลไม้
แนวทางการบริโภคอาหารเด็กวัยก่อนเรียนอายุ 4-6 ปี
เด็กวัยนี้โตพอที่จะบริโภคอาหารพร้อมสมาชิกอื่นในครอบครัวได้แล้วแต่ควรให้ได้รับอาหารที่มีโปรตีนอย่างเพียงพอ คือ วันละ 1.5 กรัมต่อน้ำหนักร่างกาย 1กิโลกรัม เด็กวันก่อนเรียนมักมีปัญหาการขาดพลังงาน ดังนั้นการจัดอาหารควรให้มีอาหารที่ให้พลังงานอย่างเพียงพอ เด็กในวัยนี้บริโภคอาหารได้มากขึ้นอาจเพิ่มปริมาณข้าว และอาหารมื้อว่างอีกวันละ 1-2 มื้อ โดยเป็นนมสดสลับนมถัวเหลือง ในการจัดอาหารให้เด็กวัยก่อนเรียน 1 วันควรมีอาหาร ดังนี้
หลักการกำหนดอาหารสำหรับเด็กวัยก่อนเรียน
ในการกำหนดรายการอาหารควรกำหนดให้มีลักษณะ ดังนี้
- ลักษณะสัมผัส อาหารจัดควรมีลักษณะอ่อนนุ่ม ไม่กรอบ แข็ง หรือเหนียวเกินไป เพราะระยะนี้เหงือกฟันยังไม่แข็งแรง อาหารมีลักษณะเหนียว เช่น เนื้อหมู ต้องต้มเคียวให้เปื่อย หรือสับให้ละเอียด
- รสอาหาร อาหารที่จัดควรมีรสอ่อน ๆ คือ ไม่เค็ม เปรี้ยว และหวานจัดเพราะการบริโภครสเค็มจะมีต่อการทำงานของไต ส่วนรสหวานจะทำให้เด็กติดรสหวาน ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นปัญหาระดับประเทศที่ต้องหาวิธีการแก้ไข มีการรณรงค์โครงการเด็กไทยไม่เกินหวาน โดยกองโภชนาการ เพราะทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วน และโรคเบาหวานชนิดที่ 2
- สี การจัดอาหารสำหรับเด็กต้องคำนึงเรื่องสีสันของอาหารให้มากเพื่อเป็นการจูงใจให้เด็กอยากบริโภคอาหาร สีควรเป็นสีตามธรรมชาติของอาหารเอง เช่น การเลือกใช้ ผัก และผลไม้ที่มีสี เขียว เหลือง แดง แสด ส้ม และขาว ในการประกอบอาหารแต่ละมื้อให้น่าบริโภค
- รูปร่าง อาหารที่จัดให้เด็กขนาดชิ้นควรพอดีคำ ไม่ควรให้อาหารที่มีลักษณะเป็นก้อนกลม โดยเฉพาะขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 เซนติเมตร เพราะอาจหลุดเข้าคอทำให้ติดคอ หรือสำลักได้
- อุณหภูมิอาหาร อาหารที่เสิร์ฟให้เด็กวัยก่อนเรียนไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอุณหภูมิมากนัก เช่น แกงจืดไม่จำเป็นต้องเสิร์ฟขณะที่ยังร้อน แต่ควรรอให้อุ่นเกือบเย็นก่อนจึงเสิร์ฟ
- วิธีการประกอบอาหาร เด็กวัยนี้อาจจัดอาหารให้บริโภคซ้ำบ่อยๆ ได้ เช่น มื้อเช้าแกงจืด มื้อเย็นอาจเป็นแกงจืดอีกก็ได้ อาหารที่ปรุงจากไข่ให้บริโภคทุกวัน หรือสัปดาห์ละ 5-7 ฟอง ส่วนเนื้อสัตว์แนะนำให้บริโภคเนื้อปลาโดยเฉพาะเด็กวัย 1-3 ขวบ เพราะเป็นอาหารโปรตีนที่ย่อยง่ายเนื่องจากไม่มีไขมัน
- กับข้าว อาหารสำหรับเด็กวัยนี้ยังไม่ต้องพิถีพิถันในเรื่องวัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหาร เช่น มือเช้าใช้ปลา มื้อกลางวันก็อาจใช้ปลาได้อีก
- ผลไม้ ผลไม้ที่จัดให้เด็กวัยนี้ควรเป็นผลไม้ที่มีเนื้อสัมผัสนุ่ม สะดวกต่อการเคี้ยว และกลืน ไม่ควรจัดผลไม้ดองให้บริโภค
เอกสารอ้างอิง
พรทิพย์ ศิริบูรณ์พิพัฒนาและคณะ. (2555). การพยาบาลเด็กเล่ม 1. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: ธนาเพรส.
สำนักโภชนาการ. (2546). ปริมาณสารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย. เข้าถึงเมื่อ 18
2558, จาก http://nutrition.anamai.moph.go.th/temp/main/view.php?group=2&id=132.
Holden, C., & Macdonald, A. (2000). Nutrition and Child Health. (1st ed.). London, United
Kingdom.
อ.วีนะ อนุตรกุล